ความตาย เป็นสิ่งที่ดูน่ากลัวสำหรับมนุษย์ทุกคน และเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่หลีกเลี่ยงที่จะพูดถึง เพราะ คิดว่าเป็นอัปมงคล ไม่ควรพูด แต่จริง ๆ แล้วที่เรากลัว เพราะเรายังไม่รู้จักมันจริง ๆ มากกว่าค่ะ เรากลัวทุกอย่างที่เราไม่รู้ ไม่ใช่แค่ความตายหรอก (ใช่ไหมคะ) เพราะเราไม่รู้ว่า ตายแล้วจะไปไหน จะเป็นอย่างไร เลยเกิดมีความเชื่อมากมายเกี่ยวกับความตาย ที่เคยทำให้บีมสับสนมาก่อนพอสมควร และ การที่เราทำเป็นไม่สนใจ ไม่เห็นความตาย ไม่คิดว่าตัวเองจะถึงวันนั้นเร็ว แต่การตายของคุณพ่อ ทำให้บีมเข้าใจมันได้เร็วขึ้น และ ทำให้บีมเข้าถึงความจริงหลังจากที่ยืนงงในม่านหมอกแห่งภาพมายามาแสนนาน และพอเราเริ่มเห็นความจริงของชีวิตอย่างที่ไม่ปฏิเสธความตาย บีมรู้สึกว่า บีมเบาขึ้นในการมองโลก บีมเห็นทุกอย่างเปลี่ยนไป…ซึ่งกำลังจะอธิบายให้ฟังต่อไปนี้ค่ะ
การตายของคุณพ่อ
คุณพ่อของบีมเสียชีวิตเมื่อวันที่ 2 ม.ค. 2564 ที่ผ่านมานี้เอง วันนั้นน้องสาวกับน้องเขยได้ขับรถกลับไปพะเยาก่อนแล้วเพราะมีธุระสำคัญ ขณะที่บีม สามี และลูก 2 คน กำลังขนของขึ้นรถจะกลับบ้านที่ตัวเมืองเชียงราย (ช่วงปีใหม่ไปอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ที่อีกอำเภอ) และเพื่อที่จะไปทานข้าวกลางวันที่ร้านอาหารก่อนกลับ ซึ่งเราจะทำด้วยกันเป็นประจำอยู่แล้วช่วงที่มาเจอกันตอนเทศกาล คุณแม่ก็วิ่งตาตื่นมาจากหลังบ้านที่เป็นห้องที่คุณพ่ออยู่ ให้บีมกับสามีรีบไปดูคุณพ่อ บอกว่าพ่อไม่หายใจแล้ว!

แม่เจ้า…ทำอะไรไม่ถูกเลย แต่ก็รีบวิ่งไปดูเลยค่ะ พ่อนอนนิ่งอยู่บนเตียง ไม่หายใจแล้วจริง ๆ ด้วย เรียกก็ไม่ได้ยิน แต่ตัวยังอุ่น ๆ อยู่ สามีก็อยู่ตรงนั้นก่อนแล้ว ตรวจดูคุณพ่อเบื้องต้นแล้ว คือ ท่านไม่หายใจจริง ๆ
แต่เรายังมีความหวังในการช่วยชีวิตคุณพ่อค่ะ คุณแม่รีบวิ่งออกไปหาญาติ ๆ ที่บริเวณบ้านใกล้กัน (บ้านอยู่ใกล้กันหมด) และโชคดีมาก ที่มีเจ้าหน้าที่สาธารณสุขประจำโรงพยาบาลตำบล ที่ชาวบ้านเขาจะเรียกว่าหมอ สามีภรรยา ท่านนั่งทานก๋วยเตี๋ยวอยู่ร้านของญาติพอดี และท่านก็รัก เคารพ และสนิทกับคุณพ่อมาก ๆ ก็รีบวิ่งมา มาปั๊มหัวใจเบื้องต้นก่อน และโทรเรียกรถ 1669 เป็นรถฉุกเฉินให้มา
บีมก็ถามย้ำว่า โทรแล้วใช่ไหมคะ ท่านว่า โทรแล้วเรียบร้อย เดี๋ยวเขาประสานงานกันเอง
คือ มันช่างช้า เนิ่นนานเหลือเกิน … นาทีนั้น เมื่อไหร่รถจะมาซักที…
บีมอยู่ข้างตัวพ่อ จับแขน ลูบหน้า เรียกพ่อตลอด
พ่อยังอุ่น ๆ อยู่เลย และ บีมเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นตอนนั้น ได้ยินทุกอย่าง …
ตอนนั้นสิ่งที่ช่วยชีวิตมีเพียงแค่ สองมือที่ปั๊มหัวใจพ่อ และ เครื่องวัดออกซิเจนและชีพจร …
บีมรอรถมาด้วยความหวัง…ว่าจะทัน
เพราะเขาบอกว่า นั่น ๆ ชีพจรมาแล้ว ปั๊มเร็ว ๆๆๆ
ญาติพี่น้อง ชาวบ้านที่รักพ่อ ที่ได้รู้ข่าวแล้ว มายืนกันเต็มบริเวณบ้าน (บ้านกว้างค่ะ เป็นโรงสี มันจะมีพื้นที่เยอะหน่อย)
คุณหมอเรียก “อาจารย์ ๆ ตื่นเร็ว ๆ” เขาใส่พลังช่วยสุดชีวิต ผลัดกันปั๊มหัวใจ แต่…เขาก็บอกว่า ไม่ขึ้นเลย มานิดเดียว และ ก็มีน้ำเต็มท้องเลย บีมไม่รู้มันหมายถึงอะไร แต่น้ำตาเร่ิมไหลมาแล้ว ส่วนคุณแม่ต้องเดินไปอีกที่เลย บีมได้ยินเสียงร้องไห้ของคุณแม่ดังมาก แต่ญาติ ๆ มาปลอบใจ คุณแม่หยุดร้องแล้วมาจัดการต่อว่าจะต้องยังไง
พอรถ 1669 มา บีมก็ได้ยินว่า เขาไม่มีเครื่องมือบางอย่างที่สำคัญ!
แต่เขามีอะไรสักอย่างที่พอจะช่วยได้ไปก่อน ซึ่งตอนนั้นเจ้าหน้าที่มาเยอะแล้ว
แม่เจ้าาาาา … พอขา ขอให้ปาฏิหาริย์มีจริงเถอะ! อย่าพึ่งไปตอนนี้เลย พ่อยังมีหลานชายรออยู่นะคะ พ่อ…คิดไปก็น้ำตาไหลไป แต่บอกตัวเองว่า เข้มแข็งไว้ก่อน มองบวกไว้ก่อน จะมาร้องตอนนี้ เดี๋ยวแม่ไปกันใหญ่ ลูกจะตกใจ นิ่ง ๆ ไว้ก่อน ตั้งสติไว้ก่อน
แล้วเราก็ต้องรอรถโรงพยาบาลมาค่ะ …
นาน…มาก ในความรู้สึก
ในใจก็เผื่อใจไว้เลยว่า พ่ออาจจะไม่อยู่แล้ว … นานขนาดนี้
เพราะเรารู้ว่า ขาดออกซิเจนนานขนาดนี้ ถ้าไม่มีปาฏิหาริย์จริงๆ มันคงเป็นไปไม่ได้
แต่ก็แอบมีความหวังอยู่ลึก ๆ นะคะ ตอนที่เขานำพ่อใส่ในรถพยาบาลไป … ที่คุณแม่บอกตอนหลังว่า รถโรงพยาบาลเขาจะมีเครื่องมือพร้อมกว่า ซึ่งถ้าเรียกรถโรงพยาบาลตั้งแต่แรก อาจจะมีโอกาสที่พ่อยังรอดได้ (อันนี้บีมไม่ทราบเหมือนกันค่ะ ไม่ได้เห็นในรถแบบละเอียดว่ามีอะไรบ้าง)
สามีขับรถพาคุณแม่ตามรถโรงพยาบาลไป
บีมอยู่บ้านเฝ้าเด็ก ๆ เขาก็ขวัญเสียและตกใจ เขาถามว่า ตาจะเป็นยังไง บีมก็บอกว่า ไม่รู้เหมือนกันลูก รอละกันนะ … รอไปด้วยกัน เขาก็มานอนตักและอยู่เงียบ ๆ
บีมรออยู่บ้านสักพัก ก็ยังไม่ได้ข่าวเลย รออยู่ โทรศัพท์คุณพ่อที่น่าจะลืมไว้ที่ตู้เย็นในบ้านก็ดัง แต่บีมไม่รู้รหัส เข้าไปแจ้งเพื่อนคุณพ่อไม่ได้เลย ได้แต่รับสาย ซึ่งสายนั้นโทรมาจากพี่น้องของคุณพ่อที่นครสวรรค์ บีมก็บอกว่า ตอนนี้คุณพ่อไปโรงพยาบาล และบีมก็ให้เบอร์บีมไปกับเขา และแจ้งว่าจะอัพเดทไปอีกค่ะ
บีมก็ยังไม่ได้ข่าวเสียที … จนสามีกลับมาบ้าน ก็ยังไม่รู้ ในไลน์ก็ไม่รู้ แม่ไม่ได้แจ้งมา แต่เขาบอกให้บีมไปด้วยกับเขาเลยตอนนี้ ให้เด็ก ๆ อยู่ที่บ้านกับญาติก่อน
…
ตอนบีมไปถึง เจ้าหน้าที่ของฝ่ายฉุกเฉินก็มาเรียกญาติพอดี บีมก็เลยเรียกแม่ที่ยืนรอตรงนั้นกับญาติสนิท ๆ แล้วบีมก็ไปฟังด้วย นาทีนั้น คือ ชัดเจนว่าคุณพ่อไม่อยู่แล้วจริง ๆ … อึ้งไปสักพัก แต่เพราะเตรียมใจไว้แล้วนิดนึง ก็เลยไม่ได้ช็อค
สักพัก บีมก็ได้เข้าไปที่ห้องฉุกเฉิน … มองไปที่เตียงที่ร่างคุณพ่อนอนอยู่ มีผ้าขาวปิดหน้า …
ภาพนั้นยังติดตา ติดใจ …
เฮ้ย … เร็วขนาดนี้เลยเหรอ!
ตอนเช้าพ่อยังนั่งกินข้าวกับหนูอยู่เลย
ในไลน์พ่อยังพึ่งตอบน้องสาวอยู่เลย
พ่อไม่อยู่แล้วจริง ๆ เหรอคะ???
และนั่นคือช็อตที่สั่นสะเทือนภายในของบีมมาก ๆ ช็อตแรก
…
ช็อตต่อมา คือ ตอนที่เจ้าหน้าที่เข็นรถนำศพพ่อไปที่โรงอาบน้ำศพ
มันเป็นสถานที่ที่อยู่ด้านหลังเลยค่ะ …
เขานำร่างของพ่อไปนอนบนรางเหล็กที่สามารถให้น้ำผ่านลงไปได้
เปิดพัดผมให้อากาศระบาย
บีมมองดูร่างของพ่อบนนั้นที่เหมือนนอนหลับอย่างสบาย
เจ้าหน้าที่เขาเริ่มถอดเสื้อผ้าของพ่อออกทั้งหมดเพื่อที่จะให้เราเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ให้พ่อ
จุดนั้น บีมก็มองเห็นความจริงว่า
วันที่เราตาย ก็คงแบบนี้สินะ …
ร่างเปลือยเปล่า ใครเขาก็ได้เห็น
ความจริงของชีวิต สุดท้ายมันก็แค่นี้เอง…
ตรงไปตรงมาและเรียบง่ายเหลือเกิน
ต่อให้ตอนมีชีวิตอยู่ จะแต่งเสริมเติมอะไรเข้าไปมากเท่าไหร่
จะยากดีมีจนอย่างไร จะมีฐานะอย่างไร
สุดท้าย ทุกคนก็ต้องเหลือแค่ร่างกายเปลือยเปล่าแบบนี้แหละ
…
นาทีนั้น นอกจากจะได้เห็นสัจธรรมที่สั่นสะเทือนภายในมากแล้ว
(เป็นครั้งแรกที่บีมได้อาบน้ำศพคนที่รักที่โรงพยาบาล)
บีมก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่ค่อยอยู่
แต่ก็ไม่อยากร้องไห้ให้แม่เห็น
พ่อไม่อยู่แล้วจริง ๆ หนูหวังว่าพ่อจะไปสบายในจิตสุดท้าย …
พ่อไม่บอกใครเลย พ่อไม่ส่งสัญญาณอะไรเลย
ไม่มีใครเห็นพ่อในโมเม้นต์ที่พ่อจะไปเลย
เสียใจ…มาก แต่ทำอะไรไม่ได้
ไม่ทันได้ส่งพ่อ ไม่ทันได้ดูแลในวินาทีสุดท้าย
แต่ก็ต้องยอมรับ…ว่ามันเกิดแบบนั้นไปแล้ว
ทุกอย่างมันเกิดไปแล้ว เปลี่ยนไม่ได้แล้ว ต้องยอมรับเท่านั้น
ซึ่งความเสียใจ ความรู้สึกผิดอีกมากมายที่ประเดประดังเข้ามาในห้วงนั้นและหลังจากนั้น ก็ทำให้บีมพยายามค้นหาคำตอบเกี่ยวกับความตาย และ ชีวิตหลังความตายเพิ่มขึ้น (จากที่ได้เคยศึกษาไปบ้างแล้วตอนลูกแท้งเมื่อปลายเดือน ต.ค. 2563 มันเข้าใจระดับหนึ่ง หายเสียใจเรื่องลูกแล้ว ก็มาเจอเรื่องพ่ออีก)
การเรียนรู้และปฏิบัติบางสิ่งในรอบนี้ เป็นกระบวนการสู่การมองเห็นความเห็นและการปลดปล่อยจิตให้เป็นอิสระมากขึ้น ที่บีมกำลังจะเขียนต่อไปค่ะ
…
แต่ช็อตมันยังไม่หมดแค่นั้น ที่สั่นสะเทือนบีมถึงรากชีวิต!
ช่วงจัดงานมันยุ่งมาก เยอะมากหลายสิ่ง บีมไม่ทันจะเสียใจอะไรมากนัก ก็ต้องจัดการหลาย ๆ อย่างเยอะมาก จะหายใจยังไม่ทันหายใจเท่าไหร่เลย และร่างของพ่อยังอยู่ เลยรู้สึกเหมือนพ่อยังอยู่…
แต่ตอนที่ไปที่ฌาปนสถาน จุดสะเทือนใจมากของบีม คือ ตอนที่ไฟที่เผานั้นกำลังเริ่มเผาโลงและร่างของคุณพ่อ น้ำตาแตกเลยค่ะ เฮ้ย…พ่อไปแล้วจริง ๆ เหรอนี่ พ่อไม่อยู่แล้วจริง ๆ เหรอ …
เช้ามา ก็มาเก็บกระดูกพ่อ … ซึ่งจริง ๆ บีมเก็บของคุณตา คุณยาย พ่อตา แม่ยาย มาแล้ว แต่ด้วยความที่พวกท่าน จากไปในเวลาที่เรารู้สึกว่า มันถึงเวลาแล้วจริง ๆ ท่านไม่สบายกายใจอย่างมาก การจากไปของท่านมันช่วยให้ท่านไม่ต้องทรมานอีกต่อไป เลยไม่รู้สึกสั่นสะเทือนมาก
แต่นี่…พ่อยังดูแข็งแรงดี พึ่งนั่งกินข้าวด้วยกันตอนเช้าเอง พ่อพึ่งตอบไลน์น้องสาวเอง พ่อ…ไม่มีใครเห็นตอนที่ไป และพ่อก็ไปดื้อ ๆ ซะอย่างนั้น!!! และตอนนี้ พ่อเหลือแค่กระดูกให้เราเห็น เศร้าก็เศร้า แต่ก็เข้าใจความจริง
อีกช็อตก็ตอนที่นำกระดูกพ่อไปฝากไว้ที่วัด พระท่านก็เมตตา ท่านก็บอกว่า ไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวจะให้คุณพ่ออยู่ตรงนั้น ข้างพระประธาน ครบ 100 วันก็นำไปทำบุญและนำไปจัดการตามที่เห็นควรเลย …
พ่อเป็นกระดูกไปแล้วหรือคะนี่…รู้สึกในนาทีที่ได้นำกระดูกพ่อใส่ลงใสหม้อดิน
มันช็อคในความรู้สึกอย่างมหาศาล แต่มันก็คือจุดเริ่มต้นของการเกิดใหม่ การปลดปล่อยจิตจากความเห็นผิดมาแสนนาน ให้ได้เห็นความจริงแท้ของชีวิตที่เบาสบาย เรียบง่าย และเปล่าเปลือย…

…
การเกิดใหม่ของบีม
การเกิดใหม่ มันไม่ได้เกิดในทันที มันเป็นกระบวนการคลี่คลายมากกว่าค่ะ จากวันที่พ่อเสียถึงวันนี้ คือ 25 มี.ค. 2564 ก็เกือบจะ 3 เดือนแล้ว บีมถึงจะรู้สึกได้ว่า ตัวเองเหมือนได้เกิดใหม่จริง ๆ จากกระบวนการคลี่คลายนี้ …
ช่วงแรก ๆ มันจะช็อค เสียใจ แต่ก็จะยุ่ง ๆ เพราะเราจัดงานเอง ไม่ได้ใช้ organizer ความยุ่ง ๆ และมีอะไรต้องทำมากมาย และมีญาติๆ อยู่ด้วยตอนกลางคืน และคนมางานศพตลอด มันทำให้เราไม่ดำดิ่งไปกับความรู้สึกลบ ๆ มากนัก
แต่พอหลังจากงานเสร็จแล้ว เดือนแรกนั้น มันจะเป็นช่วงที่ต้องจัดการหลาย ๆ สิ่งที่เกี่ยวกับสิ่งที่พ่อเคยเป็นเจ้าของอยู่ เป็นห่วงสภาพจิตใจและความเป็นอยู่ของคุณแม่ เพราะ เราอยู่คนละบ้านกัน พอมันกะทันหัน มันก็จะต้องปรับทุกอย่างใหม่หมด สภาพจิตใจตัวเองก็ต้องดูแล เพราะ ย่ำแย่มากตอนนั้น แต่ The show must go on งานที่ค้างอยู่ช่วงจัดงานศพ ก็ต้องกลับมาเคลียร์ มาจัดการต่อ คือ มันเป็นช่วงที่ปรับหลายอย่างมาก ๆ ค่ะ กะทันหันแบบตั้งตัวไม่ทันเลย โปรเจ็คหลายอันก็ต้องพับไปก่อน รายได้ก็ขาดไป แต่เราก็ถือว่า ไม่เป็นไร เราอยู่กับปัจจุบันให้ดีที่สุด
กระบวนการคลี่คลายและการเกิดใหม่ภายใน
ด้วยความที่บีมเข้าใจในเรื่องของพลังงานและกระบวนการฟื้นฟูพลังชีวิต และได้รู้จักวิธีและเทคโนโลยีที่ช่วยเรื่องนี้ บีมก็เอามาใช้ค่ะ และ แค่สังเกตในการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเท่านั้น และตระหนักรู้แค่นั้นเอง มันจะคลี่คลายในตัวเองถ้าเราทำถูกวิธี
สิ่งที่บีมได้ทำเพื่อกระบวนการคลี่คลายเหล่านี้ช่วง ม.ค. – วันนี้ (25 มี.ค. 2564) คือ
- อยากร้องไห้ ก็ต้องร้อง การร้องไห้คือการปลดปล่อยพลังงานที่อัดแน่นภายในค่ะ ถ้าอยากร้อง ต้องร้อง ห้ามกลั้นไว้ ถ้าเราไม่ปลดปล่อยมันจะสะสมเป็นความเครียด เป็นพลังอัดอั้นที่ทำลายตัวเอง จะร้องคนเดียวก็ได้ผล หรือจะกอดใครสักคนแล้วร้องก็ดีเช่นกัน แต่คนนั้นจะต้องมีพลังบวกเยอะในตอนนั้นนะคะ ไม่งั้นจะรวนไปด้วยกันทั้งคู่ และคนที่รับพลังนั้นไป ก็ต้องไปเอาออกเองด้วย พลังงานมันถ่ายเทค่ะ ถ้าคนที่เรากอดเขาเป็นคนที่มีวิธีในการเอาออกอยู่แล้ว การใช้ชีวิตของเขามันเอาพลังลบออกได้อยู่แล้ว หรือการที่เขาเข้าใจความจริงของชีวิตและจิตเป็นอิสระ เขาจะรับมันได้และส่งพลังกลับให้เราได้ดีค่ะ
ซึ่งเดือนแรก บีมร้องไห้บ่อย ทุกครั้งที่ไม่ไหวจริง ๆ จะกอดสามีเฉย ๆ แล้วร้องไห้ บอกว่าคิดถึงพ่อ เขาก็จะอยู่นิ่ง ๆ ให้เราร้องไห้จนเสร็จ เขาเคยอยู่กับเราแบบนี้มาตอนเรื่องลูก เขาเป็นคนที่พลังใจแข็งแรง เขาพลังบวกเยอะ ส่วนเราอ่อนไหวเยอะ พลังของเขาช่วยบีมได้เสมอในยามแบบนี้ จุดนี้ที่บีมมองว่า สำคัญมากค่ะ สำหรับคนที่กำลังเสียใจ เศร้าใจ การได้กอดใครสักคนและร้องไห้จนหมดโดยที่เขาแค่อยู่เฉย ๆ แค่กอดเราไว้แค่นั้น บีมว่ามันเป็นพลังที่ดีมากที่ทำให้เราไปต่อได้ - หาคำตอบสำหรับคำถามที่มี ตรงนี้จะได้ปัญญาและความเข้าใจ บีมดูคลิปและอ่านบทความของท่าน Sadhguru และ Thich Nhat Hanh หลายคอนเท้นต์ที่เกี่ยวกับ “ความตาย” และ วิธีดูแลตัวเองหลังคนที่รักตาย ซึ่งท่านจะสอนในแนวเดียวกันเลยค่ะ แก่นเดียวกัน ไม่ใช่ว่าบีมไม่สนใจและไม่ศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้านะคะ คือ บีมเป็นคนที่เปิดกว้างต่อการหาคำตอบ บีมเคยอ่านและศึกษาภาษาไทยเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้มานานแล้ว บีมยังไม่ค่อยเข้าใจ ยังไม่ได้คำตอบจริง ๆ หรือสถานการณ์ชีวิตตอนที่ศึกษา มันอาจจะยังไม่พีคส่งให้เราเข้าใจก็ได้
ซึ่งปีที่แล้ว บีมกับสามีได้เจอคลิปท่าน Sadhguru บน YouTube หลายคลิปค่ะ และบีมก็รู้สึกชอบ เพราะ ท่านสอนง่าย อธิบายสิ่งที่บีมเคยมีคำถามเกี่ยวกับชีวิตได้ชัดเจนมาก ๆ ซึ่งมันเสริมให้เราเข้าใจจากข้อมูลภาษาไทยที่เคยศึกษา คือ มันทำให้เห็นภาพที่ชัดเจนเกี่ยวกับความจริงของชีวิตได้มากกว่าสำหรับบีมค่ะ บีมว่าภาษาอังกฤษมันเข้าใจง่ายเวลาเขาพูดเรื่องคำสอนของพุทธ ซึ่งสิ่งที่ทั้งสองท่านสอน มันตรงกันกับของพระพุทธเจ้านี่แหละ โดยแก่นนะคะ และจริง ๆ ก็ตรงกับของคริสต์ด้วย ส่วนอิสลามบีมยังไม่เคยศึกษาเลยค่ะ แต่บีมเข้าใจว่า ทุกศาสนาพูดถึงแก่นเดียวกัน แต่มันอยู่ที่ประสบการณ์ชีวิตของแต่ละคนที่จะเข้าใจไปแบบไหนอย่างไรค่ะ อันนี้ทุกคนก็ต้องไปทำการบ้านกับตัวเองกันเอง
ซึ่งจุดที่บีมได้คำตอบเกี่ยวกับความตายจากทั้งสองท่าน มันก็ยังไม่ได้ชัดเจนในความรู้สึกตั้งแต่แรกนะคะ แต่บีมเอาตาม 2 ท่านนี้เลย จะได้ไม่งง ไม่ตามหลายคนค่ะ และมันยังต้องกลับมาดูบ่อย ๆ พิจารณาบ่อย ๆ และทุก ๆ เช้าก่อนลืมตา บีมจะมีโมเม้นต์ตกผลึก คือ เหมือนปัญญาแท้เขาบอกเราเองค่ะ ว่ามันคือแบบนี้นะ เป็นความรู้แจ้งที่เกิดขึ้นเอง โดยไม่ได้คิดอะไรค่ะ แต่มันเกิดจากการที่เราตั้งคำถามที่สำคัญและพยายามหาคำตอบมากกว่า เขาก็จะมาเองค่ะ และบีมก็ค่อย ๆ ตกผลึกมาเรื่อย ๆ ทุกเช้าที่ตื่นนอน จดในสมุดไดอารี่ จนได้คำตอบชัดเจนเกี่ยวกับความตายและการมีชีวิตค่ะ เข้าใจตามที่ท่านทั้งสองและศาสดาต่าง ๆ สอนไว้ค่ะ ตรงกันเลย … ความจริงแท้คืออันเดียวกันเป๊ะ!
พอเข้าใจจริง ๆ มันจะวางโลกนี้ได้มากขึ้นเลยค่ะ เบาสบายแบบไม่เคยรู้สึกมาก่อน แว่นตาที่มองโลก มองผู้คน มันเปลี่ยนไปจริง ๆ การใช้ชีวิต วิธีคิด วิธีทำ ของเราต่อสิ่งต่าง ๆ ก็เร่ิมเปลี่ยนแปลงจริง ๆ ตามการมองโลกใหม่ที่เกิดในเราตามธรรมชาติ เราก็ค่อย ๆ ปรับชีวิตเราไปตามแก่นของเราที่เปลี่ยนไป - รู้วิธีจัดการกายใจเพื่อเพิ่มพลังชีวิต บีมมีโอกาสได้เรียนรู้วิชาซ่อมตัวเองจากครูเก๋ วรารักษ์ สู่โนนทอง และ ครู Katharina Bless ช่วง 2 ปีที่ผ่านมาค่ะ ได้รู้จักเครื่องมือต่างๆ ที่นำมาบำบัดพลังงานของเรา ฟื้นฟูพลังชีวิตให้กลับมา และ ผนวกกับที่ได้เรียนรู้จาก Sadhguru ช่วงปลายปีที่แล้ว ได้ลงคอร์สออนไลน์ที่ดีมาก ๆ บีมเอามาใช้ในการปรับพลังของตัวเองได้เยอะมาก ทั้งหมดที่เรียนมา คือ วิธีที่ง่าย ปลอดภัย ทำได้เองเลยค่ะ ทุกคนก็ทำได้เช่นกัน มันมีหลายวิธีเลย บีมก็จะหยิบจับวิธีที่สะดวกที่จะทำทุกวันและเห็นผลจริง ๆ เท่านั้นค่ะ ใช้เวลาไม่มากต่อวัน ดีมากเลย
และยังมีอีกวิชาของโค้ช Lori Ann คือ ศาสตร์ TRE (Trauma & Tension Releasing Exercise) อันนี้เป็นวิทยาศาสตร์จ๋า ๆ เลย ซึ่งจะจัดการกับระบบประสาทของร่างกายที่จดจำและสะสมความเครียดและความเจ็บปวดแบบฝังลึกโดยตรง ทั้งหมดนั้นบีมเอามาใช้ร่วมกัน ตามที่สะดวก และบวกกับการเต้นกับเพลงสนุก ๆ ที่ใจอยากเต้น เต้นบ้า ๆ บอ ๆ ตามที่เราอยากทำ ปลดปล่อยให้ร่างกายได้เคลื่อนไหวอิสระ จะช่วยปลดปล่อยจิตใจให้เป็นอิสระและปลดปล่อยพลังลบ ๆ ออกไปแบบง่าย ๆ ได้เลยค่ะ หรือไปวิ่งออกกำลังกาย ก็จะช่วยได้เหมือนกัน แต่อย่าให้เหนื่อยมาก จะเครียดแทน เดินหรือวิ่งในที่อากาศดี ๆ สัก 30 นาทีค่ะ ก็พอใช้ได้แล้ว แต่ใครที่สนุกกับการไปยิมหรือฟิตเนสก็ตามสะดวกเลยค่ะ แบบไหนก็ได้ที่ทำแล้วมีความสุข ทำเลยค่ะ ดีหมด
และการเขียนก็ช่วยบีมได้มาก ๆ ค่ะ เวลาที่บีมรู้สึกหนักกับบางเรื่อง บีมจะเขียนค่ะ คือ ความรู้สึกจะบอกเองว่า ต้องเขียนได้แล้วเพื่อปลดปล่อยพลังงานที่อัดอั้นออกมา มีพระอินเดียท่านหนึ่ง เคยสอนไว้เหมือนกันค่ะว่า การเขียนคือการถ่ายเทพลังงานรูปแบบหนึ่ง จะช่วยให้จิตใจเบาสบายขึ้นได้ บีมพบว่าสำหรับบีมแล้ว มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ซึ่งการเขียนเกี่ยวกับการตายของลูก การตายของพ่อ มันช่วยปลดปล่อยความรู้สึกลบ ๆ จากภายในได้ดีมาก อย่างของลูกนี้ เขียนจบแล้ว ก็เคลียร์เลยค่ะ พลังสดใส ไปต่อได้เลย แต่ของคุณพ่อ มันสะเทือนมากกว่า ซึ่งเป็นธรรมชาติค่ะ เพราะ ร่างกายเราครึ่งหนึ่งมาจากพ่อ และ ชีวิตของเราก็ผูกพันกันมานาน มากกว่าลูกที่เขาพึ่งจะมาไม่นาน แม้เราจะรักและเสียใจมากเรื่องลูก แต่เราปลดปล่อยพลังลบออกได้เร็วกว่าพลังที่สูญเสียคุณพ่อที่เป็นส่วนหนึ่งของร่างกายและจิตใจของเรานั่นเอง ถ้าเราไม่เคยฝึกทิ้งตัวตน เราจะเป็นหนึ่งเดียวกับพ่อแม่ของเรา ก็จะเสียใจมากขึ้น สะเทือนมากขึ้นเมื่อพ่อแม่จากไปค่ะ
ซึ่งทั้งหมดนั้น เป็นการจัดการกับ “ร่างกาย” ทั้งหมดค่ะ ซึ่งท่าน Sadhguru บอกว่า ร่างกายเขาจะเป็นไปตามธรรมชาติของความจริงมากที่สุด จะไม่เหมือนจิตใจที่ชอบปั่นป่วนและหลอกลวงเรา และจากการทดลองของบีม บีมว่าจริงค่ะ แค่ดูแลร่างกายให้ดี อาหาร การนอน การออกกำลัง การเคลื่อนไหว ดูแลแบบที่รางกายของเราต้องการจริงๆ สำคัญที่อาหารเลย เพราะอาหารจะกลายมาเป็นตัวเรา และอาหารจะส่งผลถึงพลังชีวิต ซึ่งอาหารจะแบ่งเป็น 3 หมวด คือ เพิ่มพลังชีวิต ลดพลังชีวิต และ ไม่ส่งผลต่อพลังชีวิต (กลางๆ) ถ้าเราทานอาหารที่เพิ่มพลังชีวิต ปัญญาและความชัดเจนในชีวิตจะปรากฏขึ้นเองค่ะ เพราะ มันมีอยู่แล้วในตัวเรานี่แหละ แค่ต้องหาทางเชื่อมต่อให้เจอ ซึ่งจะเชื่อมต่อได้ก็ต่อเมื่อกายใจของเราอยู่ในสภาวะที่เบาสบายที่สุด ไม่แบกโลกค่ะ
บีมทำแค่ 3 อย่างนี้เลยค่ะ แล้วปล่อยให้กระบวนการปลดปล่อยนี้จัดการให้เราเอง บีมแค่ทำเหตุ ซึ่งผลมาเองจริง ๆ ที่ไม่ใช่การคิด แต่มาจากการรู้แจ้งที่เกิดเองตามธรรมชาติเลยค่ะ
สิ่งที่บีมได้เรียนรู้จากการตายของคุณพ่อสู่การเกิดใหม่ของบีมจากภายใน
ขณะที่บีมนั่งเขียนอยู่ตอนนี้ บีมเกิดการเปลี่ยนแปลงภายในจากกระบวนการคลี่คลายที่เป็นผลจากสิ่งที่บีมทำ 3 ข้อมาอย่าต่อเนื่องตั้งแต่คุณพ่อเสีย ดังนี้ค่ะ
- ม่านมายาของชีวิตได้จบลง ความจริงได้ปรากฏขึ้นตรงหน้าชัดเจน ว่า “ไม่มีบีมที่อยู่ตลอดไป” บีมสามารถตายได้ และบีมก็ไม่เคยมีอยู่มาก่อนจนพ่อกับแม่ให้ชีวิต บีมเป็นสิ่งไม่จีรังยั่งยืน วันหนึ่งจะไม่มีบีม ซึ่งก่อนหน้านี้ บีมรู้สึกกลัวกับการตายของตัวเอง ไม่กล้าเผชิญหน้ากับการตายของตัวเองมาโดยตลอด ไม่คิดว่าตัวเองจะตายตอนนี้ ยังมีเวลาน่ะที่จะแก่ชราและเตรียมใจ แต่จากการตายของพ่อ มันทำให้บีมต้องเผชิญกับความกลัวนี้แบบจัง ๆ และต้องก้าวผ่านมันไปให้ได้ ไม่อย่างนั้นจะต่อไปไม่ได้เลย พอเราเข้าใจและมองเห็นการตายของตัวเองแล้ว มันก็เบาจริง ๆ แม้มารมันจะมาทำให้รู้สึกกลัวอยู่บ้าง แต่ก็รู้ทัน จะกลับไปจุดที่เข้าใจได้เร็วขึ้น
- พ่อของเราก็เช่นกัน พ่อสามารถตายได้ พ่อไม่ได้อยู่ตลอดไป การตายของพ่อคือความจริง
- ทุกคนที่เรารัก หรือ เราไม่ชอบ คนที่เราโกรธเกลียด หรือมีปัญหากันอยู่ สุดท้ายก็ไม่มีอยู่ ทุกคนตายได้ นี่คือความจริง (ทุกวันนี้ มองใคร ก็จะเห็นเป็นภาพกองกระดูก เหมือนกระดูกของคุณพ่อที่บีมเอาใส่หม้อดิน…มาเองเลยค่ะ ไม่ได้คิดเลย มันจะปล่อยวางแบบอัตโนมัติไปเองเลย)
- กายนี้ ธรรมชาติเขาให้ยืมมาใช้ ตายไปก็คืนกลับ ดิน น้ำ ลม ไฟ ก็จะเป็นที่ว่าง ๆ
- ตรงตามที่อายุรเวทเขาสอนเรื่องธาตุ ตอนแรกบีมก็ไม่เข้าใจว่า “ที่ว่าง” คืออะไร พอฟัง Sadhguru สอนบ่อย ๆ และจากการตกผลึกเอง ก็เข้าใจแล้วว่า องค์ประกอบของสรรพสิ่งคือ ที่ว่าง ดิน น้ำ ลม ไฟ มองในภาพรวม คือ ที่ว่าง และ พลังงาน (พอเอาธาตุมารวมกันเป็น ปิตตะ วาตะ คัพพะ ก็คือ พลังงานค่ะ)
- สุดท้ายแล้ว ทุกอย่างคือเนื้อเดียวกัน หรือท่าน Thich Nhat Hanh เรียกว่า Oneness แต่ที่เราแบ่งแยกกัน เพราะ เราไม่รู้ความจริงข้อนี้ ทำให้เกิดเป็นตัวเป็นตน เป็นเชื้อกิเลสของการเกิดใหม่ไปเรื่อย ๆ และสภาวะ Oneness คือ เต๋า พระเจ้า และความเป็นนิรันดร์ ไม่มีจุดเริ่ม ไม่มีจุดสิ้นสุด ไม่มีกาลเวลา
- เรานี่โง่เหลือเกินที่ผ่านมาที่ไม่รู้และหลงยึดสิ่งต่าง ๆ ว่าเป็นของเรา
- แต่มันก็จะมีตัวมารแว่บ ๆ แพรม ๆ มาค่ะ นึกถึงฉากที่มารแปลงตัวมาเป็นพระพุทธเจ้าพูดกับตัวเอง น่าจะฉากสุดท้ายก่อนบรรลุหรือเปล่าไม่แน่ใจ บีมว่าอันนั้นแหละ คือ สิ่งที่บีมกำลังเจอแว่บ ๆ แวม ๆ ตอนนี้ คือ มันจะไม่ให้เราเข้าถึงความจริง มันจะให้เราติดกับดักอยู่ในตัวตนของเรา มันจะทำให้เราโกรธ เกลียด กลัว อยู่เป็นระยะ ๆ แต่บีมพอจะรู้ทัน ก็ปล่อยได้เร็วอยู่ ค่อย ๆ พิจารณาไปค่ะ ความจริงนี้ บีมรู้ว่ามันจะทำให้บีมปลดปล่อยตัวเองเป็นอิสระได้ 100% เหมือนที่พระพุทธเจ้าทำได้แล้วแน่นอน อีกนิดเดียวแค่นั้น
- สุดท้ายแล้ว ส่ิงที่มนุษย์ตามหา ไม่ใช่เงินทอง แต่คือ อิสระต่างหากค่ะ อิสระที่อยู่เหนือวัตถุ โลก ร่างกาย และกาลเวลา มันคือเสียงเรียกกลับบ้านที่แท้จริงของเรา ที่ที่สุข สงบ สบาย และไร้ตัวตนตลอดกาล …
- เมื่อเรารู้แล้วว่า การตาย คืออะไร เราก็จะรู้เองว่า เราจะต้องมีชีวิตอยู่อย่างไรจริงๆ
และทั้งหมดนั้น คือ สิ่งที่อยากแบ่งปันกันวันนี้นะคะ บีมตกผลึกแบบนี้เช้านี้ค่ะ ซึ่งจะสรุปประเด็นสำคัญให้เห็นภาพรวมของบทความอีกรอบจะได้เข้าใจชัดเจนค่ะ
- ความตาย คือ ความจริง ไม่เกี่ยวกับอายุ ไม่ต้องรอแก่ และไม่มีใครรู้วันตาย
- ทุกคนต้องตาย ทั้งคนที่เรารัก เราไม่ชอบ เราเฉย ๆ แล้วสุดท้ายเราจะโกรธ เกลียด กันไปเพื่อ?
- คนที่เราได้พบเจอ อาจจะเคยเป็นคนที่เรารักมาก่อน เราไม่มีทางรู้หรอก ดังนั้น ก็รักไปทุกคนนั่นแหละ เหมือนคนเคยอยู่ในครอบครัวเดียวกัน เพราะ การพบกันได้ ก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ มันมีพลังงานเกาะเกี่ยวกันอยู่ พี่น้องเรายังอภัยได้ คนที่เรากำลังไม่ชอบตอนนี้ อาจจะเคยเกี่ยวกับเรามาก่อนก็ได้ สำคัญคือไม่ต้องไปค้นหาว่าใครเป็นใคร เพราะนั่นยังไม่หลุดจากตัวตน สำคัญคือ รักและอภัยให้หมดทุกคนนั่นแหละ พูดง่ายแต่ทำยาก แต่บีมก็ต้องฝึกฝนใจในจุดนี้เหมือนกันค่ะ ค่อยๆ ทำไป เดี๋ยวก็ถึงเองในวันหนึ่ง
- เราต้องเตรียมพร้อมชีวิตสำหรับการตายตลอดเวลา (มรณสติ) แต่ต้องเตรียมแบบเข้าใจ ไม่ใช่แบบกลัว
- หาคำตอบให้รู้แจ้งว่าความตายคืออะไร
- ให้ความตายเป็นครูสอนเราเกี่ยวกับชีวิต
- พิจารณาความตายแบบจริงจัง จะได้ประโยชน์มาก เข้าถึงสัจธรรมได้เร็ว
- การตายของคนที่เรารักและใกล้ชิดจะส่งผลต่อเรามาก เพราะ พลังของเราได้รวมเป็นเนื้อเดียวกันมานาน ความผูกพัน และเรื่องราวมากมายในความทรงจำ จะทำให้เรารู้สึกว่างเปล่าแบบฉับพลัน (กรณีตายกะทันหัน) ซึ่งแบบนี้จะช็อคในความรู้สึกมากกว่าการที่คนคนหนึ่งตายเพราะเจ็บป่วยเรื้อรัง
- เราต้องรู้จักวิธีที่จะช่วยปลดปล่อยความรู้สึกเหล่านี้หลังการตายของบุคคลที่รัก เพื่อการใช้ชีวิตต่อได้อย่างมีความสุข ซึ่งจะเป็นผลลัพธ์ในชีวิตของเราต่อไป
- เราจะอนุญาตให้เฉพาะความทรงจำที่ดี ๆ เกี่ยวกับเราและเขาเป็นพลังให้กับเราในใช้ชีวิตต่อไปเท่านั้น เพราะ คนที่ตายแล้ว คือ เขาไม่มีอยู่แล้ว จิตสุดท้ายหรือพลังงานสุดท้ายที่ออกจากร่างกายของเขาไป จะไปจับกับร่างใหม่ตามพลังงานนั้น ๆ และเกิดเป็นสิ่งมีชีวิตใหม่ต่อไป แต่ตัวเขาในชื่อนี้ ไม่มีอยู่แล้ว ยกเว้นแต่ว่า จิตสุดท้ายไม่เกาะเกี่ยวอะไรทั้งนั้น หมดความอยาก หมดความไม่อยาก ก็ไม่ต้องเกิดอีก เพราะ ไม่มีเชื้อของการเกิดแล้ว
- มันไม่ใช่เรื่องง่ายในการจัดการกับความรู้สึกของการสูญเสียบุพการีที่รักยิ่งของเรา แต่มันจบแล้ว…และเราคือคนที่ต้องไปต่อ เราจะเดินไปต่ออย่างไร นั่นคือสิ่งที่เราต้องเลือกที่จะคิดและทำต่อไป…เพื่อผลลัพธ์ชีวิตที่เราต้องการ
- หากเรารู้ความจริงแท้ของชีวิตจากความตายแล้ว เราจะรู้ว่า เราจะใช้ชีวิตและดูแลคนที่ยังคงอยู่ด้วยกันอย่างไรต่อไปให้ดีที่สุดเพื่อจะได้ไม่ต้องเสียใจในวันที่เราหรือเขาจะต้องไปอีก…
- อยู่กับคนตรงหน้าให้ดีที่สุดทุกครั้ง…เพราะนั่นอาจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราได้พบและคุยกัน
บีมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า บทความนี้จะช่วยผู้อ่านได้ไม่มากก็น้อยนะคะ ในการทำความเข้าใจต่อความตายและแนวทางในการจัดการตัวเองหลังจากที่สูญเสียบุคคลที่รักทุกคนค่ะ
ขอให้คุณรักษาพลังชีวิตดี ๆ ไว้สร้างชีวิตที่เหลือต่อไปค่ะ
สุดท้ายนี้…บีมขอขอบพระคุณ “ชีวิตของคุณพ่อ” ที่ได้สอนวิชาชีวิตที่สำคัญที่สุดให้บีม ทำให้บีมได้เกิดใหม่และได้สัมผัสกับอิสระที่ภายในอย่างแท้จริง…การตายของคุณพ่อจะไม่สูญเปล่าค่ะ … เพราะบีมเข้าใจแล้วว่า “คนเราต้องทำอะไรตอนมีชีวิตอยู่” และ บีมจะทำให้คนได้ประโยชน์จากการมีชีวิตอยู่ของบีมให้มากที่สุด บีมตั้งใจแบบนั้นค่ะ และขอคุณพ่อโปรดให้อภัยในทุกความผิดพลาดที่ได้ล่วงเกินทั้งทางกาย วาจา ใจ ช่วงระหว่างที่เราได้มีชีวิตอยู่ด้วยกันค่ะ เพื่อเป็นอิสระแก่กันและกัน
และขอให้คุณพ่อในรูปแบบชีวิตใหม่ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ขอให้พลังงานที่ดี ๆ ที่เกิดจากการทำงานและการใช้ชีวิตของบีมในทุก ๆ วัน ส่งไปให้พ่อสมมาตร หอมลาในฟอร์มใหม่ มีพลังงานที่ดี มีความสุข และได้เข้าถึงความจริงของชีวิตที่เป็นสุขแท้นิรันดร์นะคะ…
ด้วยรักและเคารพเสมอ…
#บีมวรดาภา #ลูกบีม
25 มี.ค. 2564 เวลา 8.28 น.
ขอบคุณพ่อ … กับทุกช่วงเวลาของชีวิตที่ได้อยู่ด้วยกันนะคะ และขอขอบคุณที่พ่อให้ชีวิตเป็นครูให้ลูกได้พบสัจธรรมแท้จริงของชีวิตที่ตามหามานาน ขอให้พ่อได้พบและมีโอกาสได้เดินบนเส้นทางแห่งความจริงแท้นี้ด้วยเช่นกันนะคะ รักพ่อค่า 🙂