แบ่งปันเทคนิคการ “ปรับสมดุล” ร้อนเย็นเพื่อการรักษาสมดุลให้ผิวยังคงมีสุขภาพดีในสภาพอากาศที่ร้อนจัดแบบนี้อย่างง่าย ทำได้ด้วยตัวเองที่บ้าน ในงบประมาณเบา ๆ
เดือนเมษายนนี้ ไฟช่างร้อนแรง…
ทั้งไฟป่าเชียงใหม่ ไฟป่าเชียงราย ไฟไหม้ Central World และ ไฟไหม้มหาวิหารนอเทรอดาม
ยังไม่รวมถึงความเครียดทางการเมือง เศรษฐกิจ ที่เกิดขึ้น
สภาพแวดล้อมความร้อนสูงเช่นนี้ ส่งผลกระทบต่อตัวเราที่เป็นคนไทยในเขตร้อน
เป็น ร้อน x ร้อน คือ คูณสอง (หรือมากกว่า) ย่อมส่งผลให้ร่างกายแห้ง ขาดน้ำ กระหายน้ำ
เมื่อภายในขาดน้ำ ก็จะส่งผลมาที่ผิว ซึ่งคนที่สุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง ก็จะแสดงออกมาชัดเจน
ไม่ว่าจะเป็นอาการผดผื่น สิวอักเสบ รอยแดงที่เข้มขึ้น การคันที่ผิวโดยไม่ทราบสาเหตุ
ในบทความนี้ บีมนำเทคนิคง่าย ๆ มาแบ่งปันเพื่อช่วยปรับสมดุลให้ผิว “มีน้ำหล่อเลี้ยง” จากภายใน
เพื่อให้ผ่านพ้นช่วงเวลาเช่นนี้ไปได้ด้วยดีที่สุดค่ะ
อาการที่บ่งบอกว่าเรามีภาวะร้อนเกิน
อ้างอิงจากองค์ความรู้ของคุณ หมอเขียว ใจเพชร มีทรัพย์ ซึ่งบีมสรุปให้สั้น ๆ ไว้สังเกตตัวเองง่าย ๆ ดังนี้ค่ะ
- ริมฝีปากแห้ง แตก ลอก ทาลิปบำรุงแล้ว พอลิปหมดก็ลอกแตกอยู่
- รู้สึกกระหายน้ำตลอดเวลา ยิ่งดื่มน้ำเย็น ยิ่งเป็น ยิ่งไม่หาย
- รู้สึกอ่อนเพลีย อ่อนแรง อยากนอน อยากพัก เกือบตลอดเวลา
- รู้สึกขับถ่ายยากขึ้น หรือมีอาการท้องผูก
- มีสิวอักเสบและรอยแดงเพิ่มขึ้น
- มีผดผื่น หรือ คันตามเนื้อตัวแบบไม่มีสาเหตุ
เทคนิคปรับสมดุลที่บีมใช้เองแบบง่าย ๆ ที่บ้านมาฝากค่ะ
เทคนิคที่ 1 : งดอาหารฤทธิ์ร้อน
จากประสบการณ์ทดลองด้วยตัวเองเรื่องอาหารมา 10 ปี และมาทานตามหลักปรับสมดุลด้วยแนวอายุรเวทประมาณเกือบ 3 ปี พบว่า “อาหารจะเปลี่ยนเป็นกายของเรา และ อาหารจะส่งผลต่ออารมณ์ของเราโดยตรง” ดังนั้น การที่เราได้งดกินของที่มีฤทธิ์ร้อนในตัวเอง เช่น พริกไทยดำ พริกขี้หนู กระเทียม ทุเรียน เงาะ ขิง และของรสจัดทั้งปวง (ทุกรสชาติ ไม่ใช่แค่เผ็ดจัดและเปรี้ยวจัด ทุกรสชาติที่มากไป ทำให้ร้อนเกิน)เนื้อสัตว์ใหญ่ อาหารปิ้งย่างที่ใช้ความร้อนสูง ๆ ในช่วงเวลาแบบนี้ ก็จะช่วยให้ความร้อนลดลงอย่างมาก เพียงแค่ตัดสินใจไม่กินไปก่อน พอสภาพแวดล้อมมันเย็นลง ก็ค่อยกลับมากินได้ค่ะ เอาร่างกายให้รอดก่อน
รายการอาหารฤทธิ์ร้อน http://foodmorkeaw.blogspot.com/p/blog-page_7.html
เทคนิคที่ 2 : ดื่มและทานสมุนไพรและอาหารฤทธิ์เย็น
โดยส่วนตัวแล้ว บีมมักจะใช้ผลไม้และน้ำเปล่าเป็นตัวปรับสมดุลอย่างง่ายก่อนค่ะ ผลไม้ที่มีน้ำมากและรสจืดโดยธรรมชาติ เช่น แตงโม แคนตาลูป ชมพู่ ส่วนผักจะเป็นแตงกวา สะเดา (เอามาต้มดื่มน้ำกิน ลดความร้อนได้เร็วมาก)
ส่วนน้ำดื่มอาจจะเป็นน้ำเปล่าธรรมดาแบบไม่เย็นหรือไม่อุ่น และน้ำ pi-water (เป็นน้ำที่เคลมสรรพคุณว่า มีโมเลกุลใกล้เคียงกับน้ำในร่างกายของเรามากที่สุด ซึ่งส่วนตัวบีมกับครอบครัวดื่มเป็นประจำ ยิ่งช่วงมีไฟป่าที่เชียงราย มีฝุ่น P.M 2.5 ก็จะต้องดื่มสัปดาห์ละอย่างน้อยคนละ 1 ขวดค่ะ (ขวดละ 20 บาท) ซึ่งเราจะเห็นผลด้านสุขภาพเร็วกว่าดื่มน้ำธรรมดาจริง ๆ (ต้องช่างสังเกตนิดนึงนะคะ และต้องเป็นคนดูแลสุขภาพประมาณนึง ดื่มแล้วจะสังเกตได้เอง)
และบางครั้ง ก็จะต้มน้ำเก๊กฮวยแบบไม่เติมน้ำตาล ดื่มอุ่น ๆ ก็จะช่วยเพิ่มการดีท็อกซ์เอาสารพิษออกได้ดี หรือจะรอให้เย็นก็ได้ค่ะ ถ้าร้อนจัดกระหายน้ำมาก บางทีก็ดื่มเย็น ๆ ไปเลย แต่ก็นาน ๆ ครั้ง เพราะ การดื่มน้ำเย็น จะทำให้ไฟย่อยในกระเพาะหายไป ทำให้อาหารที่กินย่อยไม่ได้หมด บูดเน่าสะสมในลำไส้ได้ง่ายค่ะ
หรือจะดื่มน้ำย่านางใบเตย จะคั้นสด ปั่น สกัด ต้ม ได้หมดค่ะ ส่วนใหญ่เดี๋ยวนี้มีขายทั่วไปตามร้านสมุนไพร เลือกเจ้าที่บรรจุดี มีมาตรฐาน และผสมกับน้ำเปล่าสะอาดตามสัดส่วนที่ฉลากหรือผู้ขายแนะนำค่ะ
ควรทานสิ่งเหล่านี้ตอนท้องว่างค่ะ ไม่ควรดื่มและทานก่อนและหลังอาหารภายใน 30 นาที เพราะจะทำให้ประสิทธิภาพในการย่อยอาหารลดลง และเมื่อภาวะร้อนเกินหมดไป (เราจะรู้สึกสบายตัวขึ้น) ก็ให้ลดปริมาณการทานหรือดื่มลงจนสามารถหยุดได้ พอมีภาวะร้อนเกินอีก ก็ค่อยทำอีกค่ะ
เนื่องจากสิ่งเหล่านี้ เป็นอาหารและสมุนไพรที่ไม่ได้อยู่ในระดับที่แพทย์ต้องควบคุมการใช้ ดังนั้น ในการทาน ก็ให้เน้นการสังเกตตัวเองเป็นหลัก ไม่สามารถบอกปริมาณที่แน่นอนได้สำหรับแต่ละคนเพราะร่างกายแต่ละคนแตกต่างกัน ซึ่งเมื่อไหร่ที่รู้สึก “สบาย” แล้ว ถือว่าทำสำเร็จค่ะ
รายการอาหารฤทธิ์เย็น http://foodmorkeaw.blogspot.com/p/blog-page.html
เทคนิคที่ 3 : ปล่อยวาง
เมื่อสถานการณ์มันร้อนอยู่แล้ว ตัวเราต้องพยายามมีสติตามดูรู้ทันร่างกายและจิตใจ สถานการณ์แบบนี้ จะรอดได้ถ้า “เย็นและปล่อยวาง” ถ้าใครที่โมโหง่าย ๆ ต้องรีบฝึกฝน เพราะ ต่อไปโลกมันก็อาจจะร้อนกว่านี้ ถ้าไม่ฝึกตั้งแต่ตอนที่ร้อนระดับนี้จนโกรธน้อยลงหรือตัดความโกรธออกได้ ไฟโทษะจะทำลายตัวเอง การโมโหแบบขาดสติอาจนำไปสู่การทำลายทั้งตัวเองและผู้อื่น ดังนั้น…ปล่อยวางค่ะ
สำหรับตัวบีมเอง บีมจะใช้เทคนิค “โยคะหัวเราะ” และการพูดภาษา “Gibberish” ในการปลดปล่อยพลังความเครียดและความโกรธที่สะสมอยู่ในตัวทุกเช้า
ใช้เพลงบรรเลงที่มีเสียงน้ำไหลเย็น ๆ เปิดฟัง นอนหงาย ทิ้งร่างกาย ตามดูความว้าวุ่นในใจ เห็นแล้ววาง แล้วขอทิ้งร่างไว้บนโลก หายใจเข้าออกยาว ๆ ลึก ๆ ช้า ๆ จินตนาการว่า เหมือนเราเป็นลูกโป่งแล้วลมที่หายใจเข้าไปทำให้ฟูและแฟ่บไปทั่วร่าง วางชื่อ วางอาชีพ วางทุกอย่าง แล้วกลับมาดูทั้งกายทั้งใจ แล้วขอทิ้งทุกอย่าง
เพลงบรรเลงหลากหลายประเภทที่บีมเลือกไว้จะช่วยได้ ปรับสมดุลง่าย ๆ ตามสภาวะตอนนั้น ส่วนใหญ่จะใช้ Chakra Balancing & Healing Music, Tibetan Bowl และ Healing Music ถ้ารู้สึกจิตใจว้าวุ่น จะดื่มนมถั่วเหลืองอุ่น ๆ สัก 1 แก้ว แล้วไปนอนตามเทคนิคที่บอกเลยค่ะ พวกนี้จะช่วยได้ ทำให้เราผ่อนคลายระดับลึก ตื่นมาสดชื่นได้จริง ๆ ลดไฟในตัวได้จริง ๆ
ที่สำคัญ เราจะต้องสังเกตว่า ดนตรีไหน เรารู้สึกดีและสบายนะคะ เพราะ บางเพลงคลื่นความถี่จะช่วยเราได้ บางเพลงคลื่นยังไม่ตรงกับเรา ถ้าไม่สบายอาจต้องปรับไปฟังเพลงอื่นที่ฟังแล้วสบายก่อนค่ะ พอระดับพลังงานเราดีขึ้นแล้ว แล้วกลับมาฟังใหม่ อาจปรับเข้ากันได้ดีแล้ว
ตัวอย่างเพลงที่บีมเปิดฟังเพื่อการฟื้นฟูพลังหรือผ่อนคลายระดับลึก (เปิดให้ลูกและสามีด้วย)
เทคนิคที่ 4 : อาบน้ำเย็นหรืออุณหภูมิธรรมดา
ปกติบีมเป็นคนติดน้ำอุ่นจนเกือบร้อนมาก ๆ ไม่ว่าจะฤดูไหน ก็ต้องอาบน้ำแบบนี้ค่ะ แต่หน้าร้อนปีนี้ ไม่ไหวจริง ๆ ต้องอาบน้ำเย็น
สำหรับใครที่ร้อนมาก ๆ เพลียมาก ๆ ให้ก้มหัวลง หรือ ถ้าฝักบัวอยู่สูง แค่เปิดน้ำให้ไหลลงมาเลยค่ะ ออกมาแรง ๆ สัก 3-5 นาที อยู่กับปัจจุบัน หายใจเข้าออกลึก ๆ ช้า ๆ จินตนาการว่า อณูของน้ำได้ล้างเอาความร้อนเกินออกไปทั้งตัว โมเลกุลของน้ำสะอาดและใสเย็นเข้าแทนที่ รู้สึกได้ถึงความเย็นที่แผ่ทั่วร่างกาย แล้วค่อยหยุดค่ะ
เทคนิคที่ 5 : เลือกใช้เครื่องสำอางและครีมบำรุงที่เน้นการเติมน้ำให้ผิว ลดความร้อนในผิว เป็นหลัก
เครื่องสำอางในกลุ่มนี้จะมี น้ำแร่บริสุทธิ์ อโลเวร่า ไฮยาลูรอน คาโมไมด์ เป็นส่วนผสมที่เคลมหลัก และควรเป็นสเปคแนวออร์แกนิคหรือธรรมชาติที่ปลอดสารกันเสีย จะช่วยได้มาก
ควรหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของ -paraben ที่พบบ่อย ๆ ในเครื่องสำอางที่จำหน่ายในเมืองไทยทั่วไป คือ methylparaben และ propylparaben และบางชิ้นอาจมีมากกว่านี้ที่ลงท้ายด้วย paraben ค่ะ ซึ่งเป็นสารกันเสียที่มีราคาถูกและมีข้อมูลในต่างประเทศว่ามีผลเสียต่อสุขภาพ
นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของ Alcohol Denat, Sodium Laureth Sulfate, Sodium Lauryl Ether Sulfate ด้วยค่ะ
เป็นคำแนะนำที่ให้สแกนกันแบบง่าย ๆ ซึ่งก็จะพบด้วยตัวเองว่า ผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายทั่วไป จะมีส่วนผสมเหล่านี้แทบทั้งสิ้น แม้กระทั่งแบรนด์ที่ฉลากเขียนว่า ธรรมชาติ และ สมุนไพรเองก็ตาม ดังนั้น ต้องหาแบรนด์ที่เป็นออร์แกนิคและธรรมชาติตัวจริง และตรวจสอบที่ส่วนผสมอีกทีค่ะ
แนะนำให้งดการทำเลเซอร์และการทำทรีทเมนต์อะไรก็ตามที่ทำให้ผิวต้องเป็นแผล รวมถึงงดการใช้กรดกับผิวหน้าในช่วงนี้ไปก่อน ถ้าไม่มีเหตุจำเป็นให้ต้องซ่อมผิวจริง ๆ หรือไม่มีครีมบำรุงฟื้นฟูที่สามารถทำให้ผิวซ่อมแซมฟื้นฟูและอิ่มน้ำได้มากหลังทำ ไม่เช่นนั้น จะเป็น ร้อนคูณสาม คือ ร้อนในกาย ร้อนที่ผิว และร้อนภายนอก จะทำให้ผิวแย่กว่าเดิมมาก ๆ และการรักษาผิวอาจไม่ได้ผลเท่าที่ควร (เราพูดตามหลักสมดุลธรรมชาตินะคะ เพราะการดูแลผิวรูปแบบนี้ คือ การเพิ่มไฟให้ผิว ยิ่งทำให้ผิวเสียสมดุล ถ้าครีมบำรุงไม่สามารถช่วยฟื้นฟูผิวได้เร็วจริง ๆ ก็จะลำบากและผิวอาจเกิดรอยแผลได้ค่ะ)
หวังว่าผู้อ่านจะได้รับความรู้และนำไปทดลองใช้ดูนะคะ รับรองว่าจะช่วยให้รู้สึกสบายตัวและสบายผิวขึ้นได้จริง ๆ ค่ะ